Memo Journeys

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศสุดขอบเอเชีย แต่เมืองสวยมาก

วันนี้ Memo Journeys จะพาทุกท่านไปตะลุยประเทศสุดขอบเอเชียอย่าง ประเทศจอร์เจีย (Georgia) ดินแดนแห่งเทือกเขาคอเคซัส อีกหนึ่งประเทศที่อยากให้ลองไปสัมผัส ด้วยบรรยากาศ และเต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมที่มีการผสมผสานระหว่างสองทวีปไว้ได้อย่างลงตัว แถมการไปเที่ยวก็เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องขอวีซ่า แค่มีพาสปอร์ตและงบพร้อมก็พร้อมบินได้เลย

 

 

เที่ยวจอร์เจีย (Georgia) ช่วงไหนดี?

สภาพอากาศของประเทศจอร์เจียค่อนข้างจะหลากหลายและสามารถเที่ยวได้ทั้งปี อยู่ที่จะชอบบรรยากาศของฤดูไหนเป็นพิเศษก็ให้วางแผนเดินทางมาในช่วงนั้นได้เลย

  • ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วง เดือนมีนาคม-พฤษภาคม เป็นช่วงที่เที่ยวได้สบายที่สุด

  • ฤดูร้อน จะอยู่ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม แดดแรงได้ใจ ใครไม่ชอบหน้าหนาว มาเที่ยวในช่วงนี้ได้เลย

  • ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ช่วงนี้จะมีใบไม่เปลี่ยนสีให้ดูด้วย สวยงามมาก แต่ถ้าเที่ยวบนเขาลมแรง ๆ จะหนาวมากแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยค่ะ

  • ฤดูหนาว อยู่ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีหิมะตกจนขาวโพลนไปหมดเลยทีเดียว แนะนำให้เตรียมร่างกายและอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม

 

 

ทำความรู้จักประเทศจอร์เจีย (Georgia)

จอร์เจีย หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจอร์เจีย นั้นตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ทิศตะวันตกติดชายฝั่งทะเลดำ ทางใต้ติดกับประเทศตุรกี อาร์มีเนีย ทิศตะวันออกจรดพรมแดนอาเซอร์ไบจาน ส่วนทางเหนือจะติดกับรัสเซีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรป และทวีปเอเชียด้วยกัน (ในอดีตจอร์เจียเคยเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วย)

การเดินทางไปประเทศจอร์เจียนั้น ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากไทย ไปลงที่เมืองหลวงจอร์เจีย ทบิลิซี (Tbilisi) จำเป็นที่จะต้องแวะเปลี่ยน 1 ครั้ง เช่น เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศตุรกี และใช้เวลาเดินทางราวๆ ประมาณ 11-13 ชั่วโมง

ค่าเงินของจอร์เจีย 1 ลารีจอร์เจีย (Georgian Lari) = ประมาณ 13.61 บาท และไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงินลารีจอร์เจีย ดังนั้นแนะนำให้แลกเงิน US หรือเงิน Euro ไปแลกเป็นลารีที่ประเทศจอร์เจีย

 

 

เมืองท่องเที่ยวไฮไลท์ในจอร์เจีย

เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)

เมืองหลวงที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์แบบเมืองเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีสันต่าง ๆ อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมของแต่ละยุค ที่สำคัญคือรายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่ทบิลิซีมีเคเบิลคาร์จากสวนไรค์ (Rike Park) ให้ขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาบนป้อมปราการ นาริกาลา (Narikala) ด้านบน ค่าโดยสารเพียง 1 ลารีจอร์เจีย ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบทบิลิซี (Tbilisi Sea) ทะเลสาบเทียมที่รายล้อมไปด้วยวิวทิวทัศน์ของป่าไม้ และเทือกเขา เป็นแหล่งปิคนิคยอดนิยมของคนที่นี่ครับ โดยเฉพาะหน้าร้อนผู้คนจะมาชุมนุมทำกิจกรรมกันที่นี่เยอะมาก

 

 

หมู่บ้านจูทา (Juta)

หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาในเทือกเขาคอเคซัส ที่ใครๆ หลายคนยกให้มีความงามเทียบเท่าสวิสเลยทีเดียว ด้วยความที่มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ฉากหลังเป็นยอดเขาสูงใหญ่อลังการมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดเดินเขายอดนิยมของนักผจญภัย มีที่พักทั้งแบบกางเต็นท์ และแบบพักเกสต์เฮาต์เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางหุบเขาด้วย

 

 

เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา (Mtskheta)

อดีตเมืองหลวงในช่วงศตวรรษที่ 5 ของจอร์เจีย อยู่ห่างจากทบิลิซีเพียง 20 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูมิประเทศอันสวยงาม อาคารบ้านเรือนยังคงความเป็นยุคกลสงเหมือนเดิม รายล้อมไปด้วยไร่องุ่นสายพันธุ์สำหรับทำไวน์  ที่นี่ยังมีโบสถ์ที่ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมถึง 3 แห่ง ได้แก่ Svetitskhoveli Cathedral, Samtavro Church and Monastery และ Mtskhetis Jvari ความิเศษอีกอย่างของเมืองนี้ก็คือจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำอักราวิ (Aragvi) และแม่น้ำมิกวาริ (Mtkvari) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีสีต่างกันอีกด้วย กลายเป็นภาพแปลกตาเมื่อยามมารวมตัวกัน

 

 

 

เมืองสกีรีสอร์ท กูเดาริ (Gudauri)

หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป ที่ความสูง 2,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีความยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้เทือกเขาแอลป์ของฝั่งยุโรปเลยทีเดียว มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 300 คนเท่านั้น แต่ก็มีโรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ที่พัก ครบจบในที่เดียว แม้นักท่องเที่ยวอาจจะน้อยจนเงียบๆ ไปบ้าง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ที่แท้จริงของที่นี่ ซึ่งมีความเรียบง่าย และชาวเมืองยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดูครับ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปกคลุมนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

 

 

 

วิหารจวารี (Jvari Monastery)

วิหารจวารี (Jvari Monastery) ที่ถือเป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศจอร์เจีย ตั้งอยู่บนยอดเขาใกล้กับเมือง Mtskheta โดยไฮไลท์ของการมาเยือนที่แห่งนี้คือ การมาชมวิวทิวทัศน์ของเมือง Mtskheta ที่มีแม่น้ำ Kura กับแม่น้ำ Aragvi ไหลมาบรรจบกัน ซึ่งหากใครไปได้จังหวะพอดี ก็จะได้เห็นความมหัศจรรย์ของแม่น้ำทั้งสองสายที่มีสีต่างกัน พร้อมทั้งได้ชมทัศนียภาพของธรรมชาติที่มีความสวยงามได้อย่างกว้างไกลสุดสายตา

 

 

 

เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)

คาซเบกิตั้งอยู่บนภูเขาคาซเบก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย ที่ควมสูงกว่า 2,170 เมตร ทำให้การมาที่นี่ต้องนั่งรถโฟล์วีลขึ้นมา หรือเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ใช้เวลาราว ๆ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง โดยมีที่เที่ยวเด่นก็คือโบสถ์เก่าแก่ Gergeti Trinity Church สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 โดยมีด้านหลังเป็นแนวยอดเขาคาซเบกิอันยิ่งใหญ่เป็นแบ็คกราวน์

 

 

 

หมู่บ้านมรดกโลก อุชกูลลิ (Ushguli)

หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป ที่ความสูง 2,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 300 คนเท่านั้น แต่ก็มีโรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ที่พัก ครบจบในที่เดียว แม้นักท่องเที่ยวอาจจะน้อยจนเงียบๆ ไปบ้าง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ที่แท้จริงของที่นี่ ซึ่งมีความเรียบง่าย และชาวเมืองยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดูครับ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปกคลุมนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

 

 

 

โรงอาบน้ำพุร้อน (Sulphur Bath)

เดินทางไปท่องเที่ยวจอร์เจียที่ถัดมาที่ถือได้ว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากกับ โรงอาบน้ำพุร้อน (Sulphur Bath) ในเมืองทบิลิซีเมืองใหญ่ของประเทศจอร์เจียที่มีบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก จึงทำให้มีโรงอาบน้ำพุร้อนเก่าแก่หลายร้อยปีที่ยังเปิดให้บริการ โดยชาวจอร์เจียจะนิยมเรียกโรงอาบน้ำนี้ว่า อะบาโนตูบานี (Abanotubani) ซึ่งเป็นโรงอาบน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับบ่อออนเซ็นของชาวญี่ปุ่น แต่มีการผสมผสานรูปแบบการอาบน้ำของชาวตุรกีเข้ามาด้วย โดยจุดเด่นของโรงอาบน้ำแห่งนี้คือโดมที่มีลักษณะติดกันทำให้เกิดเป็นความงดงามสไตล์จอร์เจียสุดเก๋นั่นเอง

 

 

 

เมืองเมสเตีย (Mestia)

เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัสทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจอร์เจียกันบ้างดีกว่ากับเมืองเมสเตีย เมืองที่รายล้อมไปด้วยยอดเขาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะของเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมีขนาดสูงราว ๆ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงทำให้นับเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สูงที่สุดและโดดเดี่ยวที่สุดอีกด้วย โดยจุดเด่นของที่นี่เลยนั่นก็คือบ้านเรือนอันเก่าแก่ในช่วงยุคกลางที่ยังคงหลงเหลือไว้ให้เราได้เดินเที่ยวชมได้อย่างเพลิดเพลิน แถมหมู่บ้านแห่งนี้ยังเป็นที่เล่นสกียอดนิยมในช่วงหน้าหนาวอีกด้วย